**********************************************************************
Gardens By The bay อลังการงานสร้างสิงคโปร์
สิงคโปร์ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสีเขียวอยู่แล้ว แม้มีพื้นที่น้อยแต่มีความพยายามสูง ระดมปลูกต้นไม้กันทั้งแนวราบและแนวตั้ง ตามนโยบายพัฒนาตัวเองให้เป็นเมืองอุทยาน จนกระทั่งขยับขยายเป้าหมายเป็นเมืองในอุทยานตามแผนพัฒนาฉบับปัจจุบัน
และตอนนี้ ประเทศเกาะแห่งนี้ยิ่งเพิ่มความเขียวขจีมากขึ้นด้วยสวนสาธารณะแห่งใหม่ การ์เดนส์ บาย เดอะ เบย์ บริเวณอ่าวมารีนา บนพื้นที่ 101 เฮคแตร์ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ เบย์เซาท์ ที่เพิ่งเปิดให้สาธารณชนเข้าชมเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน และเบย์อีสต์ กับเบย์เซ็นทรัล ที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
เบย์เซาท์ กินพื้นที่มากที่สุด 54 เฮคแตร์ จุดเด่นของสวนแห่งนี้ ได้แก่ โดมแก้วขนาดยักษ์ 2 โดม และต้นไม้ยักษ์ “ซูเปอร์ทรี” 18 ต้น
โดมแก้วทั้งสองตั้งอยู่เคียงข้างกัน โดมแรกในชื่อ โดมดอกไม้ กินพื้นที่ 1.2 เฮคแตร์ ความสูง 38 เมตร ติดแอร์รักษาอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 23-25 องศาเซลเซียส โดมแห่งนี้เป็นศูนย์รวมต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณจากเขตหนาวในแถบเมดิเตอเรเนียน และพื้นที่กึ่งแห้งแล้งใกล้เขตร้อน
ภายในโดมแบ่งเป็นโซน ได้แก่ สวนออสเตรเลีย สวนแอฟริกาใต้ สวนอเมริกาใต้ สวนเมดิเตอเรเนียน สวนแคลิฟอร์เนีย สวนเบาบับ สวนพืชอวบน้ำ และสวนโอลีฟ
ไฮไลท์ของโดมแห่งนี้อยู่ที่สวนดอกไม้ขนาด 850 ตารางเมตร ซึ่งจะปลูกไม้ดอกสลับสับเปลี่ยนไปตามฤดูกาลหรือเทศกาลต่างๆ มีเจ้าหน้าที่คอยเก็บดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาพร้อมนำของใหม่มาลงทดแทน เพื่อรักษาสภาพให้ดูสวยงามตลอดเวลา
ข้างสวนดอกไม้เป็นห้องจัดงานเลี้ยงขนาด 1,200 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ร่วมงานประมาณ 800-1,000 คน และมีจุดรับประทานอาหาร 2 จุด แบ่งเป็นสไตล์เอเชียและยุโรป
โดมแก้วแห่งที่สองมีชื่อว่า โดมป่าหมอก ตั้งอยู่บนพื้นที่ 0.8 เฮคแตร์ ความสูง 58 เมตร เมื่อผ่านประตูเข้าไป ผู้ชมจะตื่นตากับน้ำตกจำลองขนาดมหึมา ความสูง 30 เมตร ซึ่งไหลลงมาจากภูเขาจำลอง ความสูง 35 เมตร ปกคลุมด้วยกล้วยไม้และกาฝากหลากชนิด
ภายในโดมเปิดแอร์ที่อุณหภูมิประมาณ 23-25 องศาเซลเซียส เช่นเดียวกับที่โดมดอกไม้ แต่โดมแห่งนี้มีออปชั่นเสริมเป็นเครื่องพ่นละอองน้ำที่ติดตั้งตามทางเดินเป็นระยะๆ ทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในดงหมอก
ผู้ชมสามารถขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดของภูเขาจำลอง เพื่อชมส่วนที่เรียกว่า ลอสต์ เวิลด์ เป็นแหล่งรวมพืชพันธุ์ไม้เมืองร้อนที่พบได้ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000-3,500 เมตร รวมถึงเฟิร์น และมอส ถัดมาจะเป็นทางเดิน คลาวด์ วอล์ก ความยาว 122.38 เมตร เพื่อชมสภาพด้านนอกภูเขาจำลองอย่างใกล้ชิด
จากนั้นเมื่อลงบันไดเลื่อนมา 1 ชั้น จะพบกับการจัดแสดงหินงอก หินย้อย และหินผลึก ต่อด้วยทางเดิน ทรีท็อป วอล์ก ความยาว 130.35 เมตร มีลักษณะคล้ายสะพาน ยื่นออกไปนอกตัวภูเขาจำลอง ซึ่งผู้ชมจะได้ชมวิวทั้งภายในและภายในนอกโดม
เมื่อวกกลับเข้าไปในภูเขาจำลอง ผู้ชมจะพบห้องแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพื้นโลก และปัญหาต่างๆ ที่โลกเผชิญ รวมถึงภาวะโลกร้อน ต่อด้วยโซน +5 องศา เป็นห้องฉายภาพยนตร์สั้นจำลองสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหากโลกร้อนขึ้นอีก 5 องศาจากปัจจุบัน
พ้นจากห้องฉายภาพยนตร์จะเป็น ซีเคร็ท การ์เดน สวนเล็กๆ หลังม่านน้ำตกจำลอง บริเวณนี้เป็นแหล่งรวมพันธุ์ไม้ที่เคยมีอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ค่อนข้างหายากในปัจจุบัน นับเป็นโซนสุดท้ายก่อนถึงทางออกที่นำไปสู่ร้านขายของที่ระลึก
โดยรวมแล้ว โดมนี้เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมพันธุ์กล้วยไม้ เนื่องจากกล้วยไม้ถือเป็นดอกไม้ประจำชาติของสิงคโปร์
แม้ว่าภายในโดมทั้งสองจะติดแอร์ทั้งหลัง แต่ก็มีหลังคาผ้าใบซ่อนไว้ด้านบน หากแดดร้อนจัดก็จะกางออกมาเพื่อกันความร้อนและรักษาอุณหภูมิ
การเข้าชมโดมทั้งสองต้องเสียค่าผ่านประตู โดยอัตราของนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 28 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับผู้ใหญ่ และ 15 ดอลลาร์สำหรับเด็กอายุ 3-12 ปี อายุต่ำกว่านั้นเข้าฟรี
ผู้อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ที่มีเอกสารมาแสดง หากต้องการชมเพียงโดมเดียวจะเสียค่าผ่านประตูคนละ 12 ดอลลาร์สิงคโปร์ แต่ถ้าซื้อเป็นแพ็กเกจ 2 โดมราคาจะลดเหลือ 20 ดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนผู้สูงวัยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ค่าเข้า 1 โดม อยู่ที่ 8 ดอลลาร์สิงคโปร์ แพ็กเกจ 2 โดม ราคา 15 ดอลลาร์สิงคโปร์ ขณะที่เด็กอายุ 3-12 ปี เสียค่าเข้า 1 โดมเท่าผู้สูงอายุ แต่แพ็กเกจ 2 โดมอยู่ที่ 12 ดอลลาร์สิงคโปร์
จากการสอบถามชาวสิงคโปร์ที่เข้าไปชมสวนแห่งนี้ บางคนก็เห็นว่าราคาค่าผ่านประตูแพงเกินไป แต่บางคนก็บอกว่าเหมาะสมดี เมื่อพิจารณาถึงความอลังการของสถานที่ ที่ต้องลงทุนลงแรงมหาศาล และความสะดวกสบายในการเดินทาง ไม่ต้องบินไปชมถึงต่างประเทศ
ได้ยินแล้วอดนึกดีใจไม่ได้ที่เกิดเป็นคนไทย เมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติให้ชมมากมายโดยไม่ต้องลงทุนเสกสรรปั้นแต่ง เสียแต่ว่าคนส่วนหนึ่งมองไม่เห็นคุณค่า หรือไม่ก็จ้องแต่จะหาประโยชน์ส่วนตัวจนละเลยผลประโยชน์ของส่วนรวม
ความสวยงามและแปลกใหม่ของสวนเบย์เซาท์ ทำให้ชาวสิงคโปร์จำนวนมากแห่เข้าไปชม มีคู่บ่าวสาวหลายคู่เข้าไปถ่ายรูปงานวิวาห์ ขณะที่หลายครอบครัวหอบลูกจูงหลานไปนั่งเล่นนอนเล่นอย่างสบายอารมณ์
สวนที่อยู่ด้านนอกโดมเปิดให้ชมฟรี มี 4 โซน สะท้อนตามประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนชาติหลักในสิงคโปร์ และมรดกตกทอดจากการเป็นเมืองขึ้นในอดีต ได้แก่ สวนอินเดีย สวนจีน สวนมาเลย์ และสวนอาณานิคม
จุดเด่นอีกอย่างของสวนเบย์เซาท์ คือ ซูเปอร์ทรี สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์เลียนแบบต้นไม้ ความสูงระหว่าง 25-50 เมตร หรือประมาณตึก 9-16 ชั้น ทำเป็นสวนแนวตั้ง โดยปลูกต้นไม้ล้อมรอบ เน้นประเภทที่มีน้ำหนักเบา ดูแลรักษาง่าย ทนต่ออากาศของสิงคโปร์ เช่น กล้วยไม้ และเฟิร์นชนิดต่างๆ
เมื่อต้นไม้เหล่านี้ปกคลุมซูเปอร์ทรี ก็จะเกิดร่มเงาแก่สวนต่อไป ส่วนในช่วงกลางคืน แสงไฟที่ประดับประดาไว้ก็จะทำให้ซูเปอร์ทรีดูมีชีวิตชีวาในอีกรูปแบบหนึ่ง
ซูเปอร์ทรีทั้งหมด 18 ต้น กระจายอยู่ใน 3 โซน โดย 12 ต้นอยู่ที่ ซูเปอร์ทรี โกรฟ 3 ต้น อยู่ที่ โกลเดน การ์เดน และอีก 3 ต้นอยู่ที่ ซิลเวอร์ การ์เดน ความสูงที่แตกต่างกันผ่านการคำนวณมาอย่างดี เพื่อให้เกิดความสมดุลกับโครงการพัฒนาสิ่งปลูกสร้างแนวสูงบริเวณอ่าวมารีนา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
บริเวณ ซูเปอร์ทรี โกรฟ มีทางเดินเชื่อมระหว่างซูเปอร์ทรี 2 ต้น ที่มีความสูงต้นละ 42 เมตร ผู้ชมจะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ภายในสวนที่ระดับความสูง 22 เมตร แต่ก่อนขึ้นต้องเสียค่าผ่านด่านคนละ 5 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับผู้ใหญ่ และ 3 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับเด็กอายุ 3-12 ปี ราคาในส่วนนี้เสมอภาคทั้งชาวต่างชาติและคนท้องถิ่น
บริเวณนี้มีพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร เปิดให้จัดงานได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคาร์นิวัล การแสดงศิลปะวัฒนธรรม งานเลี้ยง งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และงานแต่งงาน รองรับผู้ร่วมงานประมาณ 800-1,200 คน
บนซูเปอร์ทรีความสูง 50 เมตร จะมีภัตตาคารตั้งอยู่ ผู้ใช้บริการจะได้ชมวิวแบบพาโนรามา ส่วนพื้นราบจะมีซุ้มจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ทางฝั่งเบย์อีสต์ มีพื้นที่ 32 เฮคแตร์ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ โดยพื้นที่ส่วนนี้จะเน้นบรรยากาศสงบร่มรื่น เชื่อมโยงอ่าวมารีนา กับ การ์เดนท์ บาย เดอะ เบย์ ภายในสวนจะมีนาข้าวจำลอง และสระบัว รวมทั้งพืชน้ำอื่นๆ และมีศูนย์การเรียนรู้ที่จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแหล่งน้ำตามธรรมชาติ รวมทั้งสอนให้รู้จักความสัมพันธ์ระหว่าง พืช สัตว์ และน้ำ ในระบบนิเวศวิทยา
ส่วนเบย์เซ็นทรัล จะเป็นสวนที่เชื่อมโยงระหว่างเบย์เซาท์ และเบย์อีสต์ โดยจะมีทางเดินริมน้ำระยะทาง 3 กิโลเมตร ให้ชมวิวอันสวยงาม
หากยังมีแรงเหลือเฟือ ผู้ชมสามารถข้ามสะพานลอยจากการ์เดนส์ บาย เดอะ เบย์ ทะลุโรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส ไปยัง เดอะ ชอปส์ ชอปปิงคอมเพล็กซ์ขนาดมหึมาริมอ่าวมารีน่า ซึ่งมีร้านค้าแบรนด์เนมมากมายให้เลือกซื้อหา
แต่ถ้าไม่นิยมการชอปปิง ก็สามารถเดินเล่นรอบๆ อ่าว ชมวิวทิวทัศน์ และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยอาจไปเริ่มต้นที่ มารีน่า เบย์ ซิตี้แกลอรี อาคารแนวประหยัดพลังงาน ที่มีแบบจำลองพื้นที่บริเวณอ่าวมารีน่าให้ชมพร้อมประวัติความเป็นมา และยังมีเจ้าหน้าที่พาทัวร์บริเวณรอบๆ ด้วย อาคารนี้เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์
ส่วนแฟนภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ หากมีโอกาสไปเยือนสิงคโปร์ในช่วงนี้ ไม่ควรพลาดนิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะวิทยาศาสตร์ ริมอ่าวมารีน่า
ภายในงานมีการจำลองฉากต่างๆ จากภาพยนตร์มาให้ชมแบบใกล้ชิด รวมทั้งของประกอบฉากที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์จริงๆ เช่น เสื้อผ้าของเหล่าตัวละครเอก ไม้กายสิทธิ์ หนังสือเรียน เตียงนอนของแฮร์รี่และรอน
แม้ภายในนิทรรศการมีกฎห้ามถ่ายรูปและห้ามแตะต้องสิ่งของที่นำมาแสดง แต่ผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมบางอย่าง เช่น การสวมหมวกคัดสรร การถอนต้นแมนเดรกที่ชอบส่งเสียงร้องในยามตกใจ และการขว้างลูกควัฟเฟิล อันเป็นส่วนหนึ่งของกีฬาควิดิช
และที่ขาดไม่ได้คือห้องขายของที่ระลึก ซึ่งมีตั้งแต่ เสื้อยืด แก้วน้ำ สมุดโน้ต พวงกุญแจ ไปจนถึง ไม้กายสิทธิ์ขนาดเท่าของจริง นาฬิกาย้อนเวลาของเฮอร์ไมโอนี เสื้อคลุมฮอกวอตส์ และชุดเข็มกลัดตราประจำบ้านต่างๆ
นิทรรศการเปิดให้ชมทุกวัน ระหว่าง 10.00-22.00 น. ค่าผ่านประตูชาวต่างชาติ 24 ดอลลาร์สิงคโปร์ คนท้องถิ่น 20 ดอลลาร์สิงคโปร์ แต่หากพักที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส จะมีส่วนลดพิเศษให้ หรือถ้าซื้อบัตรชุดชมนิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ ควบกับนิทรรศการแอนดี วอร์ฮอล ก็จะได้ราคาพิเศษเช่นกัน
นิทรรศการแอนดี วอร์ฮอล เป็นการแสดงประวัติและผลงานของสุดยอดศิลปินป็อปอาร์ตผู้นี้ รวมถึงภาพพิมพ์มาริลีน มอนโร อันโด่งดัง และภาพยนตร์สั้นหลายเรื่องที่เขาถ่ายไว้ ทางผู้จัดอ้างว่า นิทรรศการครั้งนี้เป็นการรวบรวมผลงานของแอนดี วอร์ฮอล ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีให้ชมมากกว่า 260 ชิ้น
ทั้งนี้ นิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ เปิดให้ชมถึงวันที่ 30 กันยายน ส่วนนิทรรศการแอนดี วอร์ฮอล เปิดให้ชมถึงวันที่ 12 สิงหาคม
***********************************************************************
พัฒนาเมืองสไตล์สิงคโปร์
อ่าวมารีน่าถือเป็นโครงการสร้างเมืองใหม่อย่างทะเยอทะยานที่สุดของสิงคโปร์ เพื่อเกื้อหนุนการขยายตัวในฐานะศูนย์กลางทางธุรกิจและการเงินแห่งเอเชีย เมื่อการพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ พื้นที่แถบนี้จะกลายเป็นย่านที่มีศักยภาพในการแข่งขันกับศูนย์การเงินชั้นนำของโลกอย่าง โตเกียว นิวยอร์ก และลอนดอน
ขณะที่ย่านการเงินอื่นๆ มักตกอยู่ในความเงียบยามค่ำคืน แต่อ่าวมารีน่าตั้งเป้าเป็นแหล่งที่มีชีวิตชีวาตลอด 24 ชั่วโมง และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้คนสามารถอยู่อาศัย ทำงาน และพักผ่อนหย่อนใจ ในที่เดียว
การพัฒนาพื้นที่แถบนี้เริ่มต้นตั้งแต่ทศวรรษ 2513 มีการเวนคืนพื้นที่รวมทั้งสิ้น 360 เฮคแตร์ เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนเมือง และความต้องการพื้นที่สำนักงานในอนาคต เป็นการปูทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสิงคโปร์
พื้นที่แถบอ่าวมารีน่า มีการแบ่งเป็นโซน และเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ แต่ละโซนมีการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างพื้นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ร้านค้า โรงแรม แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และพื้นที่สำหรับชุมชน
โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกเริ่มต้นในปี 2543 ที่ วัน แรฟเฟิลส์ คี และภายในปี 2553 โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการก็เสร็จสมบูรณ์ เช่น มารีน่า เบย์ แซนด์ส ฟุลเลอร์ตัน เฮอริเทจ และเฟสแรกของศูนย์การเงินมารีน่า เบย์
ปัจจุบัน อ่าวมารีน่าเป็นที่ตั้งของสถาบันการเงินรายสำคัญระดับโลกหลายราย และจะเติบโตต่อไปเมื่อโครงการต่างๆ แล้วเสร็จในอีกไม่กี่ปี รวมถึง อาคาร 3 ของศูนย์การเงินมารีน่า เบย์ และอาคาร 2 ของเอเชีย สแควร์
แม้ว่ารอบอ่าวมารีน่าจะเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างต่างๆ แต่ก็มีการกำหนดความสูง เพื่อความสวยงามของภูมิทัศน์ โดยอาคารที่อยู่ริมน้ำจะต้องเป็นอาคารแนวราบ ป้องกันการบดบังทัศนวิสัยของอาคารที่อยู่รอบนอก
นอกจากนี้ อ่าวมารีน่ายังเป็นตัวช่วยเพิ่มปริมาณน้ำจืดให้สิงคโปร์ โดยมีการสร้างเขื่อน มารีน่า บาร์ราจ กั้นระหว่างอ่าวกับทะเล ทำให้อ่าวมารีน่ากลายเป็นแหล่งกักเก็บน้ำแห่งที่ 15 ของสิงคโปร์ ช่วยขยายพื้นที่รองรับน้ำฝน เพื่อลดการพึ่งพาน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน และแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยระบบประตูระบายน้ำ
และตามสไตล์ของสิงคโปร์ที่ทำอะไรแล้วต้องได้ประโยน์สูงสุด มารีน่า บาร์ราจ จึงไม่ใช่เพียงแค่เขื่อนกักเก็บน้ำ แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้และพักผ่อนหย่อนใจของคนทั่วไปด้วย เปิดให้เข้าฟรีทุกวัน โดยกิจกรรมที่ได้รับความนิยม คือ การเล่นว่าว พายเรือ และวินด์เซิร์ฟ
*************************************************************************
เวอร์ชั่นที่ลงหนังสือพิมพ์สามารถอ่านได้ที่นี่ กรุงเทพธุรกิจ
No comments:
Post a Comment