Wednesday, October 31, 2012

เจ้าหญิงมาเดอลีนทรงหมั้นรอบสอง

(เดลีมาร์เก็ต 31 ต.ค.55)

สำนักพระราชวังสวีเดนแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เจ้าฟ้าหญิงมาเดอลีน พระราชธิดาพระองค์เล็กในสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ล ที่ 16 กุสตาฟ และสมเด็จพระราชินีซิลเวีย ทรงหมั้นกับคริสโตเฟอร์ โอนีล พระสหายชายคนสนิทเรียบร้อยแล้ว

ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันเสกสมรสที่แน่นอน แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วงฤดูร้อนปีหน้า

เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ทรงหมั้นมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2552 กับโจนาส แบร์กสตอร์ม ทนายความชาวสวีเดน แต่ทรงล้มเลิกการหมั้นและการเสกสมรส หลังจากสื่อมวลชนรายงานข่าวว่าพระคู่หมั้นแอบไปกุ๊กกิ๊กกับสาวชาวนอร์เวย์

เจ้าฟ้าหญิงมาเดอลีนประทานสัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ของสำนักพระราชวัง โดยระบุว่า โอนีล ขอพระองค์แต่งงานเมื่อต้นเดือน

ข่าวลือเกี่ยวกับการหมั้นครั้งนี้เริ่มแพร่สะพัดเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว เมื่อโอนีล ซึ่งเกิดและเติบโตในอังกฤษ แต่ไปทำงานในสหรัฐและถือสองสัญชาติทั้งอังกฤษและอเมริกัน ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ล ที่ 16 เพื่อแต่งงานกับเจ้าฟ้าหญิงมาเดอลีน

แน่นอนว่าทั้งสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีซิลเวียทรงยินดีต้อนรับโอนีลเข้าร่วมเป็นสมาชิกราชวงศ์ เห็นได้จากการที่โอนีลได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีรับศีลล้างบาปของเจ้าหญิงเอสเตล พระราชนัดดาพระองค์แรก

เจ้าฟ้าหญิงมาเดอลีน พระชันษา 30 ปี ทรงย้ายไปประทับที่นิวยอร์ก ตั้งแต่ปี 2553 หลังจากทรงยกเลิกการหมั้นครั้งแรก และทรงทุ่มเทพระวรกายให้กับมูลนิธิเด็กโลก ที่สมเด็จพระราชินีซิลเวียทรงก่อตั้ง

ส่วนโอนีล วัย 38 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ปัจจุบันเป็นนักการเงิน มีสำนักงานอยู่ทั้งในนิวยอร์ก และกรุงลอนดอน เขาเป็นบุตรชายของอีวา โอนีล สาวสังคมที่เคยออกเดทกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารอังกฤษ

เจ้าฟ้าหญิงมาเดอลีนทรงเป็นหนึ่งในราชนิกูลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยเมื่อปี 2554 ทรงครองอันดับ 7 ของราชนิกูลสตรีที่ทรงพระสิริโฉมที่สุด จากการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ BeautifulPeople.com

ในปีเดียวกันนั้น ทรงได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในราชนิกูลสตรีที่ร้อนแรงที่สุด โดยนิตยสารซีอีโอเวิลด์

ส่วนเมื่อปี 2553 ทรงรั้งอันดับ 3 ของราชนิกูลรุ่นเยาว์ที่ร้อนแรงที่สุด 10 อันดับ จากการจัดโดยเว็บไซต์ PopCrunch.com

และเมื่อปี 2551 ทรงอยู่ที่อันดับ 12 ของราชนิกูลรุ่นเยาว์ที่ร้อนแรงที่สุด 20 อันดับ จัดโดยนิตยสารฟอร์บส์





No comments: