สุลต่าน อับดุล ฮาลิม มูอัดซาม ชาห์ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย และสมเด็จพระราชินีฮามินะห์ ฮามิดุน เสด็จเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น เป็นเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 1-5 ตุลาคมที่ผ่านมา
การเสด็จเยือนครั้งนี้เป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งสอง โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่สุดอันดับสองของมาเลเซีย และเป็นนักลงทุนรายใหญ่สุด ด้วยยอดการลงทุนเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อปีที่แล้ว
นอกเหนือจากการเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีที่พระราชวังอิมพีเรียลแล้ว สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซียยังเสด็จร่วมงานเลี้ยงพระกระยาหารกลางวัน ซึ่งจัดถวายโดยสมาคมเศรษฐกิจ 5 สมาคมที่มีบทบาทสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและญี่ปุ่น
สมาคมเศรษฐกิจทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย หอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (เจซีซีไอ) สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น สมาคมผู้บริหารบริษัทญี่ปุ่น องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) และคณะกรรมการความร่วมมือทางธุรกิจญี่ปุ่น-มาเลเซีย
ทาดาชิ โอกามุระ ประธานเจซีซีไอ กล่าวถวายรายงานว่า ข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น-มาเลเซีย (อีพีเอ) เมื่อปี 2549 มีส่วนช่วยอย่างมากต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าสองฝ่าย
โอกามุระ ยกย่องว่า นโยบาย "มองตะวันออก" ของมาเลเซีย ซึ่งดำเนินมาถึงปีที่ 30 เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศทั้งสองใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ส่วนในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่โรงแรมอิมพีเรียล สมเด็จพระราชาธิบดีพระราชทานพระบรมราโชวาทแด่ชาวมาเลเซียที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นว่า ขอให้บุคคลเหล่านี้ช่วยกันส่งเสริมชื่อเสียงและภาพลักษณ์อันดีงามของประเทศบ้านเกิด
พร้อมกันนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีพระราชทานพรให้ชาวมาเลเซียในญี่ปุ่นประสบความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรือง ปราศจากอันตรายทั้งปวง อีกทั้งทรงขอบใจรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ให้โอกาสชาวมาเลเซียและบริษัทมาเลเซียเข้าไปช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจแก่ญี่ปุ่น
นอกจากนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินี ยังเสด็จเยือน โตเกียว สกายทรี ซึ่งได้รับการบันทึกใน กินเนสส์ บุ๊ค เวิลด์ ออฟ เรคคอร์ด ว่าเป็นหอคอยสื่อสารที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 634 เมตร
ทั้งนี้ โตเกียว สกายทรี เป็นหอกระจายคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งใหม่ของกรุงโตเกียว สามารถชมวิวได้ 360 องศา
(ภาพ AFP/EPA)
No comments:
Post a Comment